ทำอย่างไร...โรงเรียนของเราจะเป็นโรงเรียนแห่งการเรียนรู้
ปัจจุบันเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในโลกอย่างมากในแทบทุกด้าน
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
การศึกษาวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ของโลกจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อมนุษย์
รวมทั้งด้านการศึกษาด้วย ในแวดวงการศึกษามีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญประการหนึ่ง คือ
การปฏิรูปการศึกษาซึ่งมีความมุ่งหมายที่จะจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
เป็นคนดี คนเก่ง มีความเมตตากรุณา และมีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
ด้วยความสำคัญดังกล่าว การก้าวให้ทันโลกนั้น...จำเป็นอย่างยิ่งที่โรงเรียนของเราต้องปรับตัวให้เป็นโรงเรียนแห่งการเรียนรู้
จากการศึกษา "กระบวนการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา" ของ วิจารณ์ พานิช (2555: ออนไลน์) กล่าวว่า
การพัฒนาหน่วยราชการให้เป็นองค์การเรียนรู้
เป็นหัวใจของการปฏิรูประบบราชการ เป็นทิศทางที่ยอมรับกันทั่วไป
เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนระบบราชการไทยไปสู่ระบบเรียนรู้ องค์การเรียนรู้
ผ่านกระบวนการจัดการความรู้
จึงได้เสนอ "ทศปฏิบัติสู่ความเป็นองค์การเรียนรู้ของหน่วยราชการ" ดังนี้
ปฏิบัติที่ 1 สร้างวัฒนธรรมใหม่ จะต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์การ
(Corporate
culture) ของหน่วยราชการ จากวัฒนธรรมอำนาจเป็นวัฒนธรรมความรู้
จากการบริหารงานแบบควบคุม – สั่งการ (command and
control) เป็นบริหารงานแบบเอื้ออำนาจ (empower) ให้ข้าราชการทุกระดับริเริ่มสร้างสรรค์วิธีการทำงานใหม่ ๆ ได้
ปฏิบัติที่ 2 สร้างวิสัยทัศน์ร่วม (Shared vision) ดำเนินกระบวนการให้คนในองค์การร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์ (vision) ปณิธานความมุ่งมั่น (purpose) และเป้าหมาย (goal)
ปฏิบัติที่ 3 สร้างและใช้ความรู้ในการทำงาน ทุกคนสร้างและใช้ความรู้ในการทำงาน และในกิจกรรมเพื่อการดำรงชีพทุกประเภท ทุกหน่วยงานสร้างและใช้ความรู้ในการทำงานทุกภาคส่วนของสังคมสร้างและใช้ความรู้ในการทำงาน
ปฏิบัติที่ 4 เรียนลัด การเรียนลัดนี้ต้องไม่เรียนแบบคัดลอกแต่ต้องเอาความรู้ของเขามาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
(บริบท – context) ของเรา
แล้วจึงดำเนินการ “ต่อยอด”
ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของเราเอง เทคนิคการเรียนรู้จากผู้มี “วิธีการยอดเยี่ยม” (best practices) ได้แก่ benchmarking และ peer assist
ปฏิบัติที่ 5 สร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยยุทธศาสตร์เชิงบวก ใช้วิธีคิดเชิงบวกว่าตามวิสัยทัศน์ที่ร่วมกันกำหนดนั้น
ให้เสาะหาตัวอย่างของ “วิธีการยอดเยี่ยม”ให้พบ
แล้วนำมายกย่องและจัดกระบวนการ “แบ่งปันความรู้” เพื่อขยายผล โดยจัดเวทีให้มีการนำเสนอ ยกย่อง
และแลกเปลี่ยนความรู้และวิธีการกันภายในองค์การ
ปฏิบัติที่ 6 จัด “พื้นที่” หรือ “เวที” หมายถึงพื้นที่สำหรับแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ทั้งอย่างไม่เป็นทางการและอย่างเป็นทางการ ซึ่ง“พื้นที่”สำหรับแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อาจเป็น “พื้นที่จริง” สำหรับให้คนมาพบหน้ากันโดยตรง หรืออาจเป็น “พื้นที่เสมือน” ให้คนได้พบกันผ่าน ICT
ปฏิบัติที่ 7 พัฒนาคน เน้นการพัฒนาคนผ่านการทำงาน
คือพัฒนาคน – พัฒนางานไปพร้อม ๆ กัน โดยคนที่เกิดการพัฒนาจะเป็น “บุคคลเรียนรู้”
เป็นคนที่มีทักษะและเจตคติในการเรียนรู้
ปฏิบัติที่ 8 ระบบให้คุณ ให้รางวัล รางวัลที่สำคัญที่สุดคือความภาคภูมิใจในความมีคุณค่าของตน
ความสุขจากการได้รับการยอมรับ การเป็นสมาชิกที่มีคุณค่าขององค์การ ดังนั้น
รางวัลไม่จำเป็นต้องเป็นเงิน หรือการเลื่อนยศ เลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือน เสมอไป
ปฏิบัติที่
9 หาเพื่อนร่วมทาง ทำเป็นเครือข่าย
อย่าทำองค์การเดียวโดด ๆ เพราะจะขาดพลัง ขาดแรงกระตุ้น
เป็นธรรมชาติของการดำเนินการสร้างสรรค์หรือเปลี่ยนแปลง
พอทำไประยะหนึ่งจะล้าและอาจหมดแรงล้มเหลวไปเลย แต่ถ้าทำเป็นเครือข่ายจะมีการกระตุ้นเสริมพลัง
ปฏิบัติที่
10 จัดทำ “ขุมความรู้” (knowledge
assets)
เป็นการรวบรวมความรู้ที่ “ถอด” มาจากการทำ AAR, การทำ peer assist, และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในรูปแบบอื่นๆ
วิถีสู่การเป็นองค์การเรียนรู้ของหน่วยราชการมีวิถีเดียว คือวิถีแห่งการปฏิบัติ และที่สำคัญผู้บริหารองค์การต้องไม่เพียงแต่ “บริหารงาน” ต้อง “บริหารทศปฏิบัติ” ด้วย
จึงจะเกิดผลสร้างสรรค์องค์การเรียนรู้
ดิฉันเองเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว หากเราอยากให้โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนแห่งการเรียนรู้แล้ว การนำ "ทศปฏิบัติสู่ความเป็นองค์การเรียนรู้ของหน่วยราชการ" มาปรับและประยุกต์ใช้น่าจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งในนำพาสถานศึกษาให้สามารถปรับตัวให้ทันกับกระแสโลกได้อย่างแท้จริง
วิจารณ์ พานิช. ทศปฏิบัติสู่ความเป็นองค์การเรียนรู้ของหน่วยราชการ. สถาบันส่งเสริมการจัดการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น