รูปแบบการบริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผล
เมื่อพิจารณาภารกิจของโรงเรียนแล้วจะเห็นได้ว่า
โรงเรียนมีภารกิจหลักคือ การจัดการศึกษาและการบริหาร
ซึ่งต้องใช้กระบวนการและปัจจัยจึงจะบรรลุผล
ในกระบวนการจะอาศัยทั้งผู้บริหารโรงเรียนและครู
ผู้บริหารโรงเรียนจะต้องมีศักยภาพหลายด้าน จึงจะนำโรงเรียนประสบความสำเร็จ ซึ่งท่านศาสตราจารย์
ดร.ธีระ รุญเจริญ (2550:1-2) ที่ได้กล่าวว่าผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคลากรหลักที่สำคัญของสถานศึกษาและเป็นผู้นำวิชาชีพที่จะต้องมีสมรรถนะ
ความรู้ ความสามารถ และคุณธรรม จริยธรรม ตลอดทั้งจรรยาบรรณวิชาชีพที่ดี
จึงจะนำไปสู่การจัดและการบริหารสถานศึกษาที่ดี มีประสิทธิผล และประสิทธิภาพ
กล่าวคือ
1.ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีความรู้
ความเข้าใจ ตลอดทั้งแนวทางการปฏิรูปการศึกษาเกี่ยวกับ (1) ผลการจัดและปัญหาการจัดการศึกษาที่ผ่านมาในด้านต่าง
ๆ (2) ผลการประเมินคุณภาพภายนอก (3)
แผนการศึกษาแห่งชาติ (4)
ยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ (5)
นโยบายของกระทรวงศึกษาของสำนักงานที่เกี่ยวข้อง (6)
แนวภารกิจของสถานศึกษาที่กำหนดไว้ (7)
แนวการบริหารและจัดการศึกษา (8) ความเป็นมืออาชีพในการบริหารการศึกษา
และ (9) แนวทางการปฏิรูปการศึกษา
2. ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และการดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษา
ทั้งการประกันคุณภาพภายในและการประกันคุณภาพภายนอก ตลอดทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
มาตรฐานการศึกษาของชาติ มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน และมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อประเมินภายนอก
3.
ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีสมรรถนะในการจัดการศึกษา
และการบริหารการศึกษาในด้านต่าง ๆ ด้วยความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง กล่าวคือ
จะต้องมีคุณสมบัติอย่างน้อยตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพตามข้อบังคับของคุรุสภา
4.
ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีภาวะผู้นำที่เอื้อต่อการบริหารและจัดการศึกษาในยุคนี้
โดยเฉพาะภาวะผู้นำทางวิชาการและภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง
5.
ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีความรู้ ความสามารถในการบริหารฐานโรงเรียน (SBM) ตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ.2547
และสามารถนำหลักธรรมมาภิบาลมาใช้ในการบริหารและการจัดการศึกษา
รวมทั้งสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานและตัวบ่งชี้การบริหารฐานโรงเรียนตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาพัฒนาไว้
6.
ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีความสามารถทำให้โรงเรียนเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริง
และจะต้องให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการจัดการความรู้ (Knowledge
Management: KM) และการพัฒนาสมองเพื่อการเรียนรู้ (Brain-based
Learning Development: BBL)
7.
ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการจัดชั้นและการจัดโรงเรียนในกระบวนการเรียนการสอน
เพื่อจะเลือกใช้และนำไปสู่วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
8.
ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในแนวคิด
หลักการและการจัดทำหลักสูตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา
และจะต้องมีความเข้าใจและสามารถส่งเสริมการเรียนการสอน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
9.
ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการวิจัยในโรงเรียน
ทั้งการวิจัยและการพัฒนาในกระบวนการบริหารและกระบวนการจัดการเรียนการสอน
ตลอดทั้งการส่งเสริมการใช้กระบวนการตรวจวิจัยในการเรียนรู้ของนักเรียน
สรุปได้ว่า
ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคลากรหลักที่สำคัญของสถานศึกษาและเป็นผู้นำวิชาชีพที่จะต้องมีสมรรถนะ
ความรู้ ความสามารถ และคุณธรรม จริยธรรม ตลอดทั้งจรรยาบรรณวิชาชีพที่ดี
จึงจะนำไปสู่การจัดและการบริหารสถานศึกษาที่ดี มีประสิทธิผล และประสิทธิภาพ
หนังสืออ้างอิง
ธีระ
รุญเจริญ. ความเป็นมืออาชีพในการจัดและบริหารการศึกษายุคปฏิรูปการศึกษา.
กรุงเทพฯ : ข้าวฟ่าง, 2550.
อาคะณัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น