ด้วยความระลึกถึงพระคุณท่าน รศ.ดร.ทองใบ สุดชารี ผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้เมตตาพวกเรานักศึกษาปริญญาเอก สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี อย่างยิ่ง และบทความฉบับนี้...เป็นส่วนหนึ่งที่เกิดจากกิจกรรมการเรียนรู้ที่พระอาจารย์ได้สอนพวกเรา...อย่างตั้งใจ...ด้วยอุดมการณ์...
รูปแบบการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาของประเทศไทย
“...เมื่อพูดถึงความสำคัญของการศึกษาแล้ว เมื่อมานึกดูว่า
การศึกษาเป็นรากฐานของความมั่นคงและผาสุกของประเทศชาติ
ก็กลับมาคิดอีกอย่างหนึ่งว่า
ที่บ้านเมืองจะมีความมั่นคงได้
ทุกคนแม้จะไม่ใช่ครู
ก็ต้องช่วยกันในด้านการศึกษานี้
อีกอย่างหนึ่ง
ทุกคนแม้จะเป็นฝ่ายการศึกษา
ก็ต้องมีหน้าที่ที่จะทำนุบำรุงให้บ้านเมืองมีความมั่นคง…”
พระบรมราโชวาท
เนื่องในโอกาสเสด็จฯทรงดนตรี
ณ
วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร
วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม 2515
จากพระบรมราโชวาท จะเห็นว่าในการจัดการศึกษา
จำเป็นต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม
ซึ่งนับว่าเป็นแนวทางหนึ่งในการปรับปรุงและเสริมสร้างการปฏิบัติงานในองค์การให้มีประสิทธิภาพและมีความเข้มแข็งยั่งยืน
เนื่องจากการศึกษาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคน ทุกฝ่าย การรวมพลังจากบุคคลต่าง
ๆ ในสังคม
ร่วมแสดงความคิดและกำหนดทิศทางในการพัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
การศึกษาจึงไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ทุกคนจะต้องช่วยกันในการพัฒนามนุษย์ออกไปสู่สังคมและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
(เมตต์ เมตต์การุณ์จิต 2547
: 48) ซึ่งการจัดการศึกษาที่พึงประสงค์ในยุคโลกาภิวัตน์ควรมีลักษณะ
(1) เปิดห้องเรียนสู่โลกกว้างให้สิ่งรอบข้างเป็นครู (2) เปิดโลกทัศน์ของเด็กให้กว้าง ให้ทุกคนได้สังเกต ได้คิด ได้ถาม
ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง จากสิ่งที่อยู่รอบตัว ให้ได้ยินกับหู ได้ดูกับตา
และได้สัมผัสด้วยตัวเอง และ (3)
ร่วมปลดปล่อยพลังสมองของผู้เรียนปฏิรูปการเรียนรู้ ผู้เรียนสำคัญที่สุด (ธีระ รุญเจริญ 2550:38-39)
ปัจจุบันเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในโลกอย่างมากในแทบทุกด้าน
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
การศึกษาวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ของโลกจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อมนุษย์
รวมทั้งด้านการศึกษาด้วย การศึกษานับเป็นหัวใจของการพัฒนามนุษย์
การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาจึงได้รับความสนใจในหมู่นักวิชาการ เพื่อหาหนทางในการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาให้ดีขึ้น (ปองสิน วิเศษศรี 2549 : 26) การคาดหวังที่จะให้การศึกษามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ
โดยเฉพาะการก้าวเข้าสู่สังคมแห่งการเรียนรู้
แต่ทว่าระบบการศึกษาไทยไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้
เพราะความไม่พร้อมทั้งทางด้านปริมาณ(ประชาชนมีการศึกษาน้อย)
ด้านคุณภาพการศึกษายังต่ำเมื่อเทียบกับนานาประเทศ
ด้านความเสมอภาคและสิทธิทางการศึกษายังเหลื่อมล้ำกันมาก
ตลอดจนยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควรในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้
ประการสำคัญก็คือการบริหารและการจัดการศึกษามีลักษณะแบบรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง
ไม่ว่าจะเป็นงานวิชาการ บุคลากร งบประมาณ ตลอดจนการบริหารทั่วไป
นับว่าเป็นการสวนกับกระแสโลก (สำนักงานปฏิรูปการศึกษา (สปศ.) 2544 : 3) ในแวดวงการศึกษามีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การปฏิรูปการศึกษาซึ่งมีความมุ่งหมายที่จะจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
เป็นคนดี คนเก่ง มีความเมตตากรุณา และมีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข ในการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีพลังและประสิทธิภาพ
จำเป็นต้องมีการกระจายอำนาจและให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม
เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 รวมทั้งเป็นไปตามหลักการของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ให้การจัดระบบโครงสร้างและกระบวนการจัดการศึกษาของไทยมีเอกภาพเชิงนโยบาย
และมีความหลากหลายในทางปฏิบัติ มีการกระจายอำนาจไปสู่เขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา
เพื่อให้มีความคล่องตัว มีอิสระในการบริหารจัดการ
โดยใช้หลักการบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Based Management
: SBM) เป็นการสร้างรากฐานและความเข้มแข็งให้กับสถานศึกษา
สามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ ได้มาตรฐานและสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับคำกล่าวของ
ธีระ รุญเจริญ (2550 : 21) ที่กล่าวว่า
การกระจายอำนาจในการบริหารเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา
และสอดคล้องกับลักษณะของยุคโลกาภิวัตน์ และ สมาน อัศวภูมิ (2550 : 88) ที่กล่าวว่า การกระจายอำนาจการบริหารงานเป็นความจำเป็นในการบริหารยุคใหม่
ทั้งการบริหารงานองค์การของรัฐและเอกชน
ระบบการศึกษาไทย
ได้มีแนวคิดของการกระจายอำนาจที่ผสมผสานกันในรูปของการแบ่งอำนาจและการให้อำนาจมาโดยตลอด
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ปรากฏว่า
การนำนโยบายเป็นไปในรูปของการแบ่งอำนาจมากกว่าการให้อำนาจ และการกระจายอำนาจทางการศึกษาในรูปแบบให้อำนาจเป็นแต่เพียงการเข้าไปมีบทบาทอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรในเอกสาร
หลักฐานของทางราชการและเป็นแนวคิดในการกำหนดนโยบาย
โดยในทางปฏิบัติกลับปรากฏรูปแบบการบริหารการศึกษาตามแนวคิดของการกระจายอำนาจแบบแบ่งอำนาจ
(deconcentralization) และการมอบอำนาจ (delegation)
อย่างเป็นรูปธรรมมากกว่า อันแสดงถึง การกระจายอำนาจให้ข้าราชการในสังกัด (ภานุวัฒน์ ภักดีวงศ์ 2540 อ้างใน วิสุทธิ์ วิจิตรพัชราภรณ์ 2550 : 1) การกระจายอำนาจการบริหารการศึกษา
เป็นการถ่ายโอนอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบในการตัดสินใจทางการบริหารการศึกษาจากส่วนกลางไปยังระดับล่างหรือระดับปฏิบัติ
ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชนในท้องถิ่น หน่วยงานและสถานศึกษา (ธีระ
รุญเจริญ 2545 : 50) เป็นการโอนอำนาจหน้าที่ในด้านวิชาการ
งบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป ไปยังระดับเขตพื้นที่การศึกษา
สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยจะต้องสอดคล้องตามเจตนารมณ์ที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติบัญญัติไว้
(เมตต์ เมตต์การุณ์จิต 2547 : 192)
จากการศึกษาของสภาการศึกษา
(2546
อ้างใน ธีระ รุญเจริญ 2550 : 12-13)
ได้เสนอข้อสรุปการอภิปรายเรื่อง “ การบริหารแบบกระจายอำนาจ
โรงเรียนพร้อมหรือยัง” ซึ่งผลอภิปรายมีดังนี้
1) ความต้องการของสถานศึกษาในเรื่องการกระจายอำนาจ คือ
ขอให้หน่วยงานต้นสังกัดมอบความไว้วางใจ
และเชื่อมั่นว่าโรงเรียนสามารถบริหารจัดการในเรื่องวิชาการ งบประมาณ
การบริหารงานบุคลากร และการบริหารทั่วไปได้
นอกจากนี้ควรปรับปรุงระเบียบกฎหมายที่ล้าสมัย
เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้สถานศึกษาขาดความเป็นอิสระและความคล่องตัวในการบริหารจัดการด้วยตนเอง
2) ความพร้อมของสถานศึกษาในการรองรับการกระจายอำนาจ คือ (1) สถานศึกษาส่วนใหญ่รับรู้แล้วว่าหากมีการกระจายอำนาจการบริหารจัดการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542
จะทำให้สามารถจัดการศึกษาได้สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนและชุมชน มีความฉับไว
และทุกคนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น (2) สถานศึกษาส่วนใหญ่ได้เริ่มลงมือปฏิบัติในการเตรียมการรองรับการกระจายอำนาจ
เช่น การนำกระบวนการจัดทำงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน (PBB)
มาใช้ในการบริหารจัดการโดยเน้นการมีส่วนร่วม การบริหารโดยองค์คณะบุคคล
การประกันคุณภาพ และการตรวจสอบการใช้งบประมาณ เป็นต้น
และมีสถานศึกษาจำนวนหนึ่งสามารถดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
และ (3) สถานศึกษามีความพร้อมในการรองรับการกระจายอำนาจในเรื่องการบริหารวิชาการและการใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
แต่ยังไม่มีความพร้อมในเรื่องการบริหารบุคลากร และการบริหารงบประมาณ
เนื่องจากยังมีกฎระเบียบจากส่วนกลางมากเกินไป
และส่วนหนึ่งเคยชินกับวัฒนธรรมแบบรวบอำนาจและการสั่งการมานาน
คิดสร้างสรรค์ด้วยตนเองไม่เป็น
3) ปัจจัยที่ทำให้สถานศึกษามีความพร้อมในการรองรับการกระจายอำนาจ คือ (1) ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการโดยองค์คณะบุคคล
และการมีส่วนร่วมของกรรมการสถานศึกษา เครือข่ายพ่อแม่ ผู้ปกครอง (2) การพัฒนาทีมงานภายในโรงเรียน ให้มีความรู้ ความสามารถ ทัศนคติที่ถูกต้อง
ในการบริหารจัดการเพื่อรองรับการกระจายอำนาจ (3) ระบบต่าง ๆ
ภายในโรงเรียนต้องมีความพร้อม และมีประสิทธิภาพ ได้แก่ ระบบข้อมูล
ระบบประกันคุณภาพ ระบบจัดซื้อจัดจ้าง เป็นต้น (4) การรวมพลังของสถานศึกษาในลักษณะเครือข่าย
ไม่ใช่อยู่อย่างโดดเดี่ยว เพื่อให้สถานศึกษาต่าง ๆ
ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการปฏิรูป
ก้าวเดินไปพร้อมกันและภาคภูมิใจในความสำเร็จร่วมกัน และ (5)
ผู้บริหารสถานศึกษาต้องกล้าคิดด้วยตนเอง ไม่ใช่แค่รอคำสั่ง
ต้องมีความกล้าหาญในเชิงจริยธรรม เพื่อให้ได้รับความเชื่อถือ ศรัทธาจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย
มีคุณธรรม ยุติธรรม และมีความโปร่งใส ไม่บริหารแบบรวบอำนาจในลักษณะอำนาจนิยม
เป็นนักประสานที่ดี คิดกว้าง มองไกล เป็นผู้นำด้านการวิเคราะห์
และเข้าใจสภาพบริบทของตนเองได้ชัดเจน
มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการบริหารจัดการศึกษาโดยมุ่งพัฒนาผู้เรียนเป็นสำคัญ
สอดคล้องกับ
ธีระ รุญเจริญ (2550
: 17) ที่กล่าวว่า
การกระจายอำนาจการบริหารการศึกษาจะเกิดประสิทธิผลย่อมต้องอาศัยบุคลากรที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายในการนำระบบมาสู่การปฏิบัติ
ซึ่งต้องอาศัยเงื่อนไขหลายประการ เช่น 1) การอาศัยการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงภาวะผู้นำ
การกระจายอำนาจ โดยอาศัยแรงผลักดันอย่างเป็นระบบ 2)
การอาศัยนโยบายของฝ่ายบริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการอย่างต่อเนื่องและชัดเจน
ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงเมื่อเปลี่ยนผู้บริหาร 3) การอาศัย จิตวิญญาณภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง
การกระจายอำนาจของบุคลากรทุกระดับ 4) การอาศัยหลัก ธรรมาภิบาลในการบริหาร 5) การสร้างทุกระดับขององค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และ 6) การนำหลักประชาธิปไตยมาใช้อย่างแท้จริง
สำนักนโยบายและแผนการศึกษาสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
ได้ดำเนินโครงการ
"วิจัยการกระจายอำนาจทางการศึกษา" เพื่อศึกษารูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานส่วนกลาง
ส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษาในการกระจายอำนาจด้านวิชาการ
ด้านงบประมาณและด้านการบริหารงานบุคคลของ 8 ประเทศ ได้แก่
ฝรั่งเศส อังกฤษ สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย
และนิวซีแลนด์ รวมทั้งได้มีการสังเคราะห์งานวิจัยดังกล่าว เพื่อเสนอนโยบาย เกี่ยวกับรูปแบบการกระจายอำนาจทางการศึกษาที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย
สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ (วรัยพร
แสงนภาบวร 2550 : ออนไลน์)
การบริหารระดับกระทรวง
การวิจัย
พบว่าทั้ง 8
ประเทศมีกระทรวงศึกษาฯ ซึ่งแต่ละประเทศใช้ชื่อ Ministry of
Education (แต่ก็อาจจะรวมภารกิจด้านอื่นๆ ด้วย เช่น วิทยาศาสตร์
วัฒนธรรม กีฬา การทำงาน เป็นต้น) เพียงกระทรวงเดียวที่เป็นกระทรวงหลักในการจัดการศึกษาของชาติโดยมีบทบาทในการกำหนดนโยบายควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน
ติดตามประเมินผล และสนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา
การบริหารระดับท้องถิ่น
ประเทศที่มีรูปแบบการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างชัดเจน
ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐเกาหลี และญี่ปุ่น และในการบริหารการศึกษาระดับท้องถิ่นของประเทศเหล่านี้ มีคณะกรรมการการศึกษา (Board of
Education) ซึ่งประกอบด้วยผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการศึกษา สามารถอุทิศเวลาได้อย่างเต็มที่และเป็นที่ยอมรับนับถือของสังคม
เป็นองค์คณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจโดยมีกฎหมายรองรับให้คณะกรรมการการศึกษาดังกล่าวมีความเป็นอิสระ
(Autonomy) ในการบริหารทั้งด้านงบประมาณวิชาการ
และการบริหารงานบุคคล เป็นอิสระจากฝ่ายปกครอง และปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง นอกจากนี้
คณะกรรมการการศึกษาดังกล่าวยังมีแหล่งรายได้ เพื่อจัดการศึกษาที่แน่นอนอีกด้วย
การบริหารระดับสถานศึกษา
ประเทศที่มีการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษาโดยตรงเพื่อให้โรงเรียน
มีอิสระในการบริหารตนเอง
(Self-Managing School) ได้แก่ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
โดยมีคณะกรรมการสถานศึกษา (School Council) เป็นองค์คณะบุคคลที่มีอำนาจในการตัดสินใจสูงสุด
และแม้แต่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเคยกระจายอำนาจสู่องค์กรบริหารการศึกษาท้องถิ่น (Local
Education Authority-LEA) ก็ได้เปลี่ยนเป็นกระจายอำนาจจากกระทรวงสู่สถานศึกษาโดยตรงไม่ต้องผ่านท้องถิ่น
โดยมีคณะกรรมการสถานศึกษา (Board of Governors) เป็นองค์คณะบุคคลผู้ทำหน้าที่บริหารและจัดการศึกษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศสหรัฐอเมริกาก็เน้นการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา
ให้บริหารโดยโรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management) ตลอดจนส่งเสริมให้โรงเรียนมีอิสระมากขึ้น
ในรูปแบบโรงเรียนในกำกับ (Charter School) ส่วนประเทศมาเลเซียและฝรั่งเศสมีการกระจายอำนาจน้อยกว่าประเทศอื่นๆ
แต่ก็ให้อิสระแก่สถานศึกษามากขึ้นเช่นกัน
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างกระทรวงกับท้องถิ่นและสถานศึกษานั้น
ส่วนใหญ่จะเป็นความสัมพันธ์แบบเกื้อกูล ในลักษณะให้ความช่วยเหลือและคำปรึกษาแนะนำ
ไม่ใช้ความสัมพันธ์แบบควบคุมหรือสั่งการ
โดยส่วนกลางสามารถให้การสนับสนุนด้านทรัพยากร สำหรับโครงการพิเศษ
หรือเพื่อควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน เช่น กรณีประเทศญี่ปุ่น กระทรวงศึกษาธิการ
และองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทางการศึกษา ตามที่กฎหมายกำหนด
และกระทรวงมีอำนาจขอให้คณะกรรมการการศึกษาทุกแห่ง เสนอรายงานสถิติข้อมูลเพื่อจัดทำสถิติการศึกษา
ตลอดจนจัดทำแผนและนโยบายการพัฒนาการศึกษาในภาพรวมของประเทศ
การกระจายอำนาจและความรับผิดชอบด้านการศึกษา งานวิจัยพบว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศต่างๆ
สามารถร่วมรับผิดชอบภารกิจในการจัดการศึกษาได้ทุกรูปแบบ ทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน
เพื่อส่งเสริมให้แต่ละท้องถิ่นมีการจัดการศึกษาตลอดชีวิตอย่างทั่วถึง แม้แต่ประเทศมาเลเซียที่ยังค่อนข้างรวมอำนาจก็มีกำหนดให้มี
Mini
Ministry ในแต่ละรัฐที่มีอำนาจเช่นเดียวกับส่วนกลาง
นอกจากนี้
บางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น
ยังมีการแบ่งภารกิจอย่างชัดเจนตามระดับขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยกำหนดให้เทศบาลจัดการศึกษาภาคบังคับและองค์การบริหารส่วนจังหวัดรับผิดชอบการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและการศึกษาพิเศษ
เป็นต้น
การกระจายอำนาจด้านงบประมาณ
พบว่า ประเทศที่กระจายอำนาจสู่สถานศึกษาโดยตรง เช่น ออสเตรเลีย
จะจัดสรรงบประมาณร้อยละ 94
เป็นเงินอุดหนุนให้สถานศึกษามีอิสระในการบริหารอย่างเต็มที่ บางประเทศ
เช่น สหรัฐอเมริกา กำหนดให้รัฐบาลท้องถิ่นจัดสรรงบประมาณ เพื่อการศึกษาเองทั้งหมด ด้วยงบประมาณที่ได้จากภาษีโรงเรือนและที่ดินของท้องถิ่น
(Property Tax) บางประเทศก็กำหนดให้รัฐบาลกลางร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทางการศึกษาด้วย
เช่น ญี่ปุ่น กำหนดให้รัฐบาลกลางรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินเดือนครู
ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง
นอกจากนี้
งานวิจัยยังพบว่าหลายประเทศ เช่น อังกฤษ และญี่ปุ่น มีกลไกการจัดสรรงบประมาณโดยคำนึงถึงความเป็นธรรม
(Fair
Funding) พิจารณาความต้องการและความจำเป็นของผู้เรียนสภาพบริบทของโรงเรียน
ฯลฯ ทำให้ผู้เรียนทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้เรียนประเภทใด หรืออยู่ส่วนไหนของประเทศก็มีสิทธิได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน
กระจายอำนาจด้านการบริหารงานบุคคลนั้น ประเทศที่มีการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นกำหนดให้ครูเป็นบุคลากรสังกัดองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น แต่ถึงแม้ครูจะสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ตาม
อำนาจเต็มในการบริหารงานบุคคล ตั้งแต่การสรรหา แต่งตั้ง การพัฒนาวิชาชีพ การออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
การจ่ายค่าตอบแทน และการพิจารณาความดีความชอบก็เป็นของคณะกรรมการการศึกษา
ไม่ใช่อำนาจของฝ่ายปกครอง คณะกรรมการการศึกษาจัดให้มีระบบการพัฒนาครูอย่างเข้มข้น เพื่อให้ครูได้รับความรู้ใหม่ๆตลอดเวลา
รวมทั้งมีระบบการดูแลให้ครูได้รับเงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการต่างๆ ที่เหมาะสมกับศักดิ์ศรีความเป็นวิชาชีพชั้นสูง
ส่วนประเทศที่กระจายอำนาจสู่สถานศึกษาโดยโรงเรียนเป็นฐาน
(School-Based
Management) กำหนดให้คณะกรรมการสถานศึกษามีอิสระในการสรรหาและแต่งตั้งผู้บริหารสถานศึกษาได้เอง
และผู้บริหารสถานศึกษาร่วมกับกรรมการสถานศึกษาดำเนินการคัดเลือกครู รวมทั้งบริหารงานบุคคลทั้งระบบได้เองโดยอิสระ
การกระจายอำนาจด้านวิชาการและหลักสูตร ทุกประเทศมีการส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต
เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ มีการปฏิรูปหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ประเทศนิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และอังกฤษ มีการกำหนดหลักสูตรแห่งชาติ เพื่อควบคุมคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของประเทศในภาพรวม
แต่ทุกประเทศก็มีทิศทางการกระจายอำนาจที่ให้อิสระแก่สถานศึกษาในการปรับรูปแบบการเรียนการสอนและเนื้อหาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน
และมีการประเมินผลสัมฤทธิ์เพื่อควบคุมคุณภาพและมาตรฐานทั้งในรูปแบบการประเมินภายในและการประเมินภายนอก
หลักการในการกระจายอำนาจทางการศึกษา จากการสังเคราะห์งานศึกษาวิจัยดังกล่าวพบว่า
การกระจายอำนาจทางการศึกษาของทุกประเทศยึดหลักการสำคัญๆ ของการกระจายอำนาจ ได้แก่ หลักการมีส่วนร่วม
หลักความเป็นประชาธิปไตย หลักความเป็นกลางทางการเมือง หลักความเป็นมืออาชีพ
หลักคุณประโยชน์สูงสุดของผู้เรียน หลักความเสมอภาคและเป็นธรรม
หลักคุณภาพและประสิทธิภาพ และหลักธรรมาภิบาล
ทำให้การบริหารและจัดการศึกษาดำเนินไปบนฐานการมีส่วนร่วมของประชาชน
มีระบบการตรวจสอบความโปร่งใส และยึดประโยชน์สูงสุดของผู้เรียนเป็นที่ตั้ง
...................................................... (โปรดติดตามตอนต่อไป).....................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น