...การกระจายอำนาจเป็นการบริหารการศึกษาอีกแบบหนึ่งที่จะช่วยให้สถานศึกษาสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของชุมชน
โดยมีผู้ส่วนได้เสียเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการสถานศึกษา
ซึ่งส่งผลให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตรงตามความต้องการของชุมชน เป็นคนดี
คนเก่ง และมีความสุข ซึ่งข้าพเจ้าเห็นด้วยกับแนวคิดของ กมล สุดประเสริฐ
ที่กล่าวว่า “...รูปแบบการบริหารและการจัดการศึกษาแบบกระจายอำนาจของไทย
ควรเป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
ที่กำหนดให้มีกระทรวงศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ทำหน้าที่กำกับดูแล
โดยลดภาระหน้าที่ในการบริหารจัดการศึกษาลง พร้อมโอนอำนาจหน้าที่ในการบริหารและจัดการศึกษาให้เขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด
โดยเขตพื้นที่การศึกษาควรจัดเป็นองค์การบริหารการศึกษาส่วนท้องถิ่นที่รัฐกำหนดขึ้นในแต่ละจังหวัด…”
โดยมีลักษณะเป็น “หน่วยงานบริการรูปแบบพิเศษ (service
Delivery Unit : SDU)”เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช้ส่วนราชการ
ซึ่งได้รับการจัดตั้งเพื่อให้บริการแก่หน่วยงานต้นสังกัด ส่วนราชการอื่น
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ/หรือประชาชน
โดยไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหารายได้(กำไร)
และนำส่งรายได้เข้ารัฐโดยตรงหรือจำเป็นต้องเลี้ยงตัวเองได้เป็นสำคัญ (Full
cost recovery) (ชัยรัตน์ หลายวัชระกุล 2549 : 37) ซึ่งข้าพเจ้าขอเรียกเล่น
ๆ ว่า “SDU ทางการศึกษา”และในการบริหารจัดการในสถานศึกษาแต่ละแห่งที่มีความแตกต่างกันไปตามบริบทแวดล้อมที่เป็นอยู่
และความต้องการของสถานศึกษาก็แตกต่างกันด้วยทำให้การนำแนวคิดการบริหารแบบการใช้โรงเรียนเป็นฐานมาใช้แตกต่างกัน
ซึ่งมีรูปแบบที่ อุทัย บุญประเสริฐ (2544 อ้างใน ธีระ
รุญเจริญ 2550 : 163) ได้เสนอไว้มี 4
รูปแบบ คือ 1) รูปแบบการบริหารโดยใช้ชุมชนเป็นหลัก
2) รูปแบบบริหารโดยใช้ผู้บริหารโรงเรียนเป็นหลัก 3) รูปแบบบริหารโดยเป็นโรงเรียนในกำกับ (Charter School) และ 4) รูปแบบบริหารแบบเอกชน ซึ่งการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานทำให้โรงเรียนมีอำนาจมากขึ้นในการตัดสินใจและต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อ
: 1) การวางแผนพัฒนาโรงเรียน 2)
การจัดการเรียนการสอนและพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน 3)
การพัฒนาบุคลากร และ 4) การจัดการการเงินและงบประมาณ
เมื่อพิจารณาภารกิจของโรงเรียนแล้วจะเห็นได้ว่า
โรงเรียนมีภารกิจหลักคือ การจัดการศึกษาและการบริหาร
ซึ่งต้องใช้กระบวนการและปัจจัยจึงจะบรรลุผล
ในกระบวนการจะอาศัยทั้งผู้บริหารโรงเรียนและครู
ผู้บริหารโรงเรียนจะต้องมีศักยภาพหลายด้าน จึงจะนำโรงเรียนประสบความสำเร็จ ดังที่
ธีระ รุญเจริญ (2550:1-2)
ได้กล่าวว่าผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคลากรหลักที่สำคัญของสถานศึกษาและเป็นผู้นำวิชาชีพที่จะต้องมีสมรรถนะ
ความรู้ ความสามารถ และคุณธรรม จริยธรรม ตลอดทั้งจรรยาบรรณวิชาชีพที่ดี
จึงจะนำไปสู่การจัดและการบริหารสถานศึกษาที่ดี มีประสิทธิผล และประสิทธิภาพ
กล่าวคือ
1.ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีความรู้
ความเข้าใจ ตลอดทั้งแนวทางการปฏิรูปการศึกษาเกี่ยวกับ (1) ผลการจัดและปัญหาการจัดการศึกษาที่ผ่านมาในด้านต่าง
ๆ (2) ผลการประเมินคุณภาพภายนอก (3)
แผนการศึกษาแห่งชาติ (4)
ยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ (5)
นโยบายของกระทรวงศึกษาของสำนักงานที่เกี่ยวข้อง (6)
แนวภารกิจของสถานศึกษาที่กำหนดไว้ (7)
แนวการบริหารและจัดการศึกษา (8)
ความเป็นมืออาชีพในการบริหารการศึกษา และ (9)
แนวทางการปฏิรูปการศึกษา
2. ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และการดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษา
ทั้งการประกันคุณภาพภายในและการประกันคุณภาพภายนอก ตลอดทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
มาตรฐานการศึกษาของชาติ มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
และมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นบานเพื่อประเมินภายนอก
3.
ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีสมรรถนะในการจัดการศึกษา
และการบริหารการศึกษาในด้านต่าง ๆ ด้วยความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง กล่าวคือ
จะต้องมีคุณสมบัติอย่างน้อยตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพตามข้อบังคับของคุรุสภา
4.
ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีภาวะผู้นำที่เอื้อต่อการบริหารและจัดการศึกษาในยุคนี้
โดยเฉพาะภาวะผู้นำทางวิชาการและภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง
5.
ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีความรู้ ความสามารถในการบริหารฐานโรงเรียน (SBM) ตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ.2547
และสามารถนำหลักธรรมมาภิบาลมาใช้ในการบริหารและการจัดการศึกษา
รวมทั้งสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานและตัวบ่งชี้การบริหารฐานโรงเรียนตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาพัฒนาไว้
6.
ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีความสามารถทำให้โรงเรียนเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริง
และจะต้องให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการจัดการความรู้ (Knowledge
Management: KM) และการพัฒนาสมองเพื่อการเรียนรู้ (Brain-based
Learning Development: BBL)
7.
ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการจัดชั้นและการจัดโรงเรียนในกระบวนการเรียนการสอน
เพื่อจะเลือกใช้และนำไปสู่วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
8.
ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในแนวคิด
หลักการและการจัดทำหลักสูตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา
และจะต้องมีความเข้าใจและสามารถส่งเสริมการเรียนการสอน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
9.
ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการวิจัยในโรงเรียน
ทั้งการวิจัยและการพัฒนาในกระบวนการบริหารและกระบวนการจัดการเรียนการสอน
ตลอดทั้งการส่งเสริมการใช้กระบวนการตรวจวิจัยในการเรียนรู้ของนักเรียน
ซึ่งในการวางแผนและควบคุมการปฏิบัติงานต่าง
ๆ ผู้บริหารจะต้องมีเทคนิคในการบริหารโดยใช้เครื่องมือ วิธีการ
และวิธีปฏิบัติในการนิเทศ แนะแนวและจูงใจบุคลากรให้ปฏิบัติงานให้ได้ผลดี ดังนั้น
ผู้บริหารการศึกษานับว่าเป็นบุคลากรที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการที่จะบริหารสถาบันการศึกษา
ให้ประสบความสำเร็จ ผู้บริหารที่ดีต้องเป็นบุคคลคุณภาพ สามารถที่จะเป็นผู้นำ
เป็นที่รัก เคารพยำเกรงของผู้ใต้บังคับบัญชาและของบุคคลรอบด้านได้
นอกจากนี้ต้องมีทักษะทางสังคมที่ดี ไม่ว่าในด้านการแสดงออก
ทางด้านการสื่อสารกับผู้อื่น การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
การตัดสินใจและแก้ปัญหาด้วยข้อมูลที่เป็นจริงมีเหตุผล
ไม่ใช้อารมณ์หรือสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้
มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งมีความเข้าใจ
เห็นอกเห็นใจผู้อื่นเป็น
ตลอดทั้งยังมีความภูมิใจในตนเองและทำงานได้อย่างมีความสุขจึงจะช่วยให้สถานศึกษาแห่งนั้นมีความเจริญก้าวหน้าไปด้วยดี
หรืออาจกล่าวได้ว่าสถานศึกษาแห่งนั้นจะต้องมีผู้นำที่เก่งในการบริหารคนและบริหารตนนั่นเอง
....................................................................(มีต่อ)................................................................................